วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

เสียงของไม้ที่แอบแฝง


ข้อมูลทั้งหมด ผมได้มากจากประสบการณ์ที่เจอเอง และรวบรวมข้อมูลอื่นมาอีกจากหลายๆที่ ทั้งจากคนทำเบส ปากสู่ปาก 

และจากหลายๆที่ๆหาได้ ไม่ว่าจะเป็นinternetหรือ สัมภาษณ์ใครก็ตาม


ใครมีอะไรอยากเพิ่มเติมก็ช่วยๆกันนะคร้าบ ที่ผมเขียนนี้บางคนอาจจะไม่เห็นด้วยหรือยังไง ลองแชร์ความรู้ความเห็นกันได้เลยครับ :D



Afzelia (Afzelia pachyloba, bipindensis, or africana): 
เป็นไม้ที่แข็งและมีมวลที่หนาแน่นมากๆ และค่อนข้างหนักกว่าไม้อื่นๆ จุดประสงค์เพื่อเสียงpunchy low end กับ เสียงสูงที่ใสๆ



Bubinga (Guibourtia demeusei, pellegrinina, or tessmannii): 
เป็นไม้ที่หาได้แถบแอฟริกา แถวๆไนจีเรีย คาเมรูน และแถบๆคองโก เป็นไม้แข็งและเป็นไม้ที่ resonant (deep,clear) มากๆ 
จุดประสงค์เพื่อเสียง clear lows และ ทำได้ดีในย่าน upper mids กับ high



Ovangkol (Guiboourtia ehie): 
หาได้ในแถบๆแอฟริกาเหมือน Bubinga ไม้ovangkol มีน้ำหนักที่มากกว่าBubinga อยู่นิดหน่อย 
เป็นไม้ที่มีสีน้ำตาลเข้่ม กับ เหลืองเข้ม และลายสีดำ มองแล้วเหมือน 3D คล้ายๆ wavy effect 
คุณสมบัติของovangkolนั้นใกล้เคียงกับbubinga



Maple/ Flamed Maple (Acer, various): 
หาได้หลากหลายแห่งบนโลกใบในนี้ แต่คุณภาพของไม้ก็จะแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับสถานที่ๆมันเกิด 
เป็นไม้ที่ resonant ดีมาก และมีความชัดเจนในตัวเองอยู่สูง


= Soft Maple: 
ใช้เยอะมากในการผลิตเบสที่เกาหลี เป็นไม้ที่ไม่แข็งเท่าhard maple เสียงที่ได้ค่อนข้างหนัก,เน้น และใสในช่วง midranges 
แต่ช่วงlows นั้นไม่มีอะไรน่าสนใจเลย 



=Hard Maple: 
ไม้นี้เหมือนคนบ้าชอบแหกปาก เสียงดังและช่วยมากใช่ช่วงเสียงupper midrange, bright high 
ควรจะหาPUที่สนับสนุนเสียงต่ำมาช่วย เพราะไม้นี้ช่วยเสียงต่ำน้อยมาก 
แต่เอกลักษณ์ของเสียงต่ำที่ไม้นี้ให้นั้นค่อนข้างน่าสนใจเลยทีเดียว และช่วยในเรื่องsustainในระดับหนึ่งอีกด้วย



Alder: 
เป็นไม้น้ำหนักเบา ช่วยเพื่มความหนาแน่น และความหลากหลายของtones ช่วยเสียงย่านสูงอีกด้วย 
ในขณะที่เสียงย่านกลาง และต่ำ ไม่ได้ช่วยหรือสนับสนุนมากนัก



Ash/Swamp Ash(Fraxinus, various): 
คล้าย maple หาได้หลากหลายที่บนโลก 
Ashมีน้ำหนักค่อนข้างเบา เมื่อเทียบกับไม้อื่นๆ 
Ashสนับสนุนเสียง mid ได้อย่างสวยงาม แล้วยังให้ very warm low end 
ไม้นี้หนาแน่นพอที่จะสร้างcrisp low endแต่ไม่บวมหรือเบลอ และยังได้harmonic ที่ชัดเจนอีกด้วย



Wenge (Millettia Laurentii): 
เป็นไม้ที่แข็งแกร่ง ทน และมวลหนาแน่น ไม้มีสีน้ำตาลเข้มกับลายขีดๆสีดำ ช่วยในย่าน mids คุณสมบัติคล้ายๆ ovangkol 



Mahogany(Meliaceae):
เป็นไม้สีแดงน้ำตาล เป็นไม้ที่ค่อนข้างได้รับการนิยมมาใช้ในการทำกีต้าร์ และเบส มาเป็นเวลานานมากแล้ว 
หาได้ส่วนใหญ่จากทางตะวันตกของแอฟริกา ให้เสียงที่ค่อนข้าง deep, warm sounding wood 
บวกกับ harmonical high frequencies แต่ไม่ค่อยได้เสียงย่านกลางจากไม้นี้ 
เสียงจะออกค่อนข้างหนาๆ เพราะมันช่วยได้ดีมากในย่าน lows กับ lows mid 
ในขณะที่ upper mids ก็ทำได้ค่อนข้างดี ผลก็คือ เวลาเล่นโน๊ตสูงๆ เสียงจะหนาและอ้วนมากกว่า เมื่อเทียบกับ alderหรือash 
โน๊ตเสียงต่ำจะหนามาก ถึงขนาดบวมและเบลอได้เลย 
การเลือกPUที่เหมาะสมกับmahoganyน่าจะเป็นPUที่สามารถ ลดเสียงlow หรือทำให้เสียงlowนั้นมันบางลง 
จะเป็นทางออกการแก้ไขของอาการบวมเบลอที่สุด

** ถ้าได้mahogany คุณภาพต่ำมาทำเบส อาจจะเป็นฝันร้ายสุดๆไปเลยก็ได้เพราะเสียงที่ได้จะบวมเบลอมากๆ 
ถึงขนาดอยากเผาเบสทิ้งเลยทีเดียว PUก็ไม่สามารถช่วยได้... มันช่วยได้แต่ก็น้อยมาก!! 



Zebrano, Zebrawood: 
หาได้ทั่วไปในแอฟริกา สีค่อนข้างเข้มออกเหลืองนิดๆ มีลายขีดยาวๆเป็นเอกลักษณ์ 
จำนวนและลักษณะของลายที่ขึ้นของไม้นี้นั้น ขึ้นอยู่กับสถานที่ๆมันเกิดด้วย
ช่วยสนับสนุนเสียงอย่างโหดร้ายในย่านเสียง low end ส่วนเสียงสูงนั้นจะclear และ bright(มาก)



Walnut: 
เป็นไม้ที่แข็งและมีมวลหนากว่ากว่า mahogany เสียงที่walnutให้นั้นจะใสกว่าmahogany 
แต่ในบางfrequencies ของช่วงmidrange จะหายไปเลย เสียงที่ได้จะเป็นแนวๆ snappy attack และได้ solid lows คล้ายๆ Ash 
อย่างไรก็ตามwalnutได้เสียงสูงสวยๆซึ่งคล้ายๆกับ mahogany และได้ช่วง mids คล้ายๆ alder 
แต่ปัญหาของไม้นี้คือ เลือกPUที่เข้ากับไม้ได้ค่อนข้างยาก 
เพราะถ้าเลือกPUที่ไม่เหมาะสม เสียงที่ได้่จะเหมือนไม่มีชีวิต ขาดเอกลักษณ์ที่สำคัญของไม้นี้เกือบทั้งหมด 

**walnut ให้เสียงที่ไม่บวม นอกจากจะได้ไม้พันธ์ุหรือคุณภาพต่ำมา สังเกตุโดยจะมีสี เหลืองและส้ม



Koa: 
เป็นมีที่มีน้ำมันมากกว่า mahogany หรือ walnut มีมวลมากกว่าmahogany แต่ไม่ใสเท่าwalnut 
เป็นไม้มีน้ำมันคล้ายๆrosewood เสียงที่ได้ค่อนข้างใส เนื้อๆ แต่เหมือนมีอะไรมากดไว้อยู่่ 
ให้อธิบายก็คือ เสียงมันไม่ได้สูงใสเหมือนเสียงแก้วแตก และช่วยมากๆในช่วง uppers midrange มากกว่าช่วง highs 

** ไม้นี้หายากและแพง ส่วนใหญ่จะเป็นการupgradeราคาแพงซะมากกว่า ยิ่งFigured Koa นี่จะแพงมาก ซึ่งหายากมากยิ่งกว่า



Korina: 
คงอธิบายได้ว่า "super-mahogany or mahogany deluxe" คือคุณสมบัติคล้ายกับmahoganyมากๆๆๆ 
แต่ได้เสียงกลางที่หวานเข้ามาเพื่ม ไม้มีmoisture contentหนาแน่นมากกว่าที่จะบอกว่าเป็นไม้ที่มีมวลหนาแน่น

**ใช้กันน้อย เพราะแพง และหายากกว่าmahogany 



ไม้ที่ใช้ทำbodyหลักๆจะมีประมาณนี้นะครับ 

ส่วนไม้อื่นๆที่ไม่ได้กล่าวมาในที่นี้ ส่วนมากจะช่วยเรื่องเสียงย่านต่ำ 

และทราบกันมั๊ยครับว่า มีเบสบางยี่ห้อเอาไม้ต้น"มะม่วง"มาทำบอดี้ด้วยนะครับ

(มะม่วงถือว่าเป็นไม้ชนิดหนึ่งที่หาไม่ได้ง่ายๆนะครับ สำหรับคนประเทศอื่น)

ใครมีต้นมะม่วงตัดไว้ อย่าเอาไปทิ้งหละครับ ;D

คราวนี้มาพูดเรื่อง ไม้ที่เอามาทำคอบ้าง



Maple: 
เป็นเรื่องธรรมดามากๆที่เห็นเบสส่วนใหญ่ใช้mapleมาทำ 
ข้อดีของมันคือmapleเป็นไม้ที่แข็งแรงและเปลี่ยนแปลงยาก(stable) 
ไม่ว่าจะอากาศเปลี่ยนยังไง mapleจะมีผลกระทบน้อยกว่าไม้อื่นๆ เป็นไม้ที่ highly reflective 
ถ้าทำคอจากmapleแล้ว เสียงส่วนใหญ่จะไปโฟกัสอยู่ที่bodyมากกว่า

**มีบางท่านบอกว่า ถ้าทำเบสคอเป็นmaple ทำbolt-onไป เสียงแทบไม่แตกต่างกับNT อาจจะนิดหน่อยเรื่องsustain
แต่ก็ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบอื่นๆด้วย เช่นไม้ที่เอามาประกบทำคอหรือบอดี้ แต่ในกรณีนี้หมายถึงทุกส่วนของเบสเป็นmaple
(อันนี้อย่าเชื่อมากครับ เพราะไม่เคยลองเหมือนกัน)


Mahogany: 
เพราะว่าความหนาแน่นที่เท่าๆกันของmahogany ทำให้คอนั้นแข็งแรง และค่อนข้างresponse มากกว่า maple 
ไม้mahogany จะซับความสั่นสะเทือนของสายเบสได้มากกว่านิดหน่อยเมื่อเทียบกับ maple 
ผลที่ได้มากคือ มันจะcompress the attack of sound กับเสียงย่านสูงเล็กน้อย


Koa: 
เสียงของมันนั้น มันอยู่ตรงกลางระหว่าง mahogany กับ maple 
แต่จะมีsweeter top end มากกว่าทั้งmahogany และ maple



Rosewood: 
เป็นไม้ที่หนัก มีน้ำมัน ช่วยเรื่องsustain และช่วยให้เสียงสูงออกมาsmoothและwarmขึ้น 
ส่วนใหญ่คนมักจะบอกว่า ไม้ที่ให้sustainเยอะ ผลที่ตามมาคือเสียงสูงแบบแสบสันจะตามมาด้วย 
แต่Rosewoodไม่ได้เป็นแบบนั้น ไม้นี้ช่วยอุดเสียงhigh toneเกือบทั้งหมด แต่ช่วยสนับสนุนในย่าน mid and low mid overtones


Wenge: 
หนาแน่น แข็งแรง และทนทาน คือนิยามของwenge ไม้นี้ช่วยเหลาเสียงสูงออกไปคล้ายๆrosewood แต่ในขณะเดียวกันนั้นชมากๆในย่านเสียงของ mids กับ low mids 
ไม้หลักๆที่เอามาทำคอกันก็มีประมาณนี้แหละครับ ส่วนเรื่องถัดไปจะเกี่ยวกับfretboard ;D


Maple: 
ใสมากและหนาแน่นในtone เป็นไม้ที่reflectiveมาก เมื่อเอามาทำfretboard ไม้นี้จะสนับสนุนเสียงย่านสูงทั้งหมด 
แต่mapleจะไม่สนับสนุนเสียงย่านต่ำแม้แต่น้อย เมื่อเอามาทำfretboard แต่จะแจ่มมากในเรื่องของharmonics 


Rosewood: 
rosewoodเป็นไม้ที่ได้รับความนิยมน่าจะมากที่สุดแล้วในการมาทำfretboard 
เป็นไม้ที่มัน และให้ความรู้สึกที่ดีเวลาสัมผัส เสียงนั้นจะricher(หนากว่าอ้วนกว่า)ในfundamentalของเสียง เมื่อเทียบกับmaple 
ก็เป็นเพราะว่าไม้นี้มันมีน้ำมันมากกว่านั่นเอง



Ebony: 
สนับสนุนเสียงสูงได้ยอดเยี่ยมมาก snappy and crisp attack บวกกับความหนาแน่นของเสียงที่คล้ายๆmaple 
ซึ่งebonyจะทำได้ดีกว่าmapleด้วยซ้ำในเรื่องของfundamental tone และช่วยในเรื่องsustainได้อย่างดีเยี่ยม 
แต่บางคนรู้สึกว่ามันให้cranky soundที่มากเกินไป ถ้าPUให้เสียงแสบสันอยู่แล้ว เจอebonyเข้าไปอีก ก็crankyไปกันใหญ่แน่นอน



Pao Ferro:
ไม้นี้ค่อนข้างธรรมดาแม้จะมีเบสยี่ห้อเทพๆ แพงๆหลายยี่ห้อนำมาใช้ เช่น Tobias 
ไม้นี้มีคุณสมบัติระหว่าง Rosewood and Ebony เสียงมันจะsnappyมากกว่าrosewood 
และช่วยในเรื่องsustainได้ดีในระดับหนึ่ง แต่ไม่ดีเท่าEbony แต่เสียงที่ได้จะอุ่นกว่าEbony 
ที่ได้รับความนิยมบ้าง ก็น่าจะเป็นเพราะว่า pao ferroมีคุณสมบัติที่น่าสนใจของทั้ง Rosewood และ Ebonyนั่นเอง


ก็มีประมาณนี้แหละครับรวมๆ อยากเพิ่มเติมอะไรก็เต็มที่เลยครับ

จริงๆยังมีรายละเอียดเกี่ยวกับ การเอาไม้ชนิดนี้ชนิดนั้นมารวมกัน ใช้topเป็นอะไรยังไง แล้วเสียงออกมาจะเป็นแนวๆไหน 
แต่ยังอยู่ในกระบวนการค้นคว้าและศึกษาอยู่ครับ คือไม่อยากนั่งเทียนเขียนขึ้นมาเองหนะครับ ขอบคุณคร้าบ

credit : siambass

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น