วันศุกร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ลักษณะของ คอของกีต้าร์และเบส

ก่อนจะเริ่มผมขอออกตัวก่อนเลยว่า ผมพูดจากสิ่งที่ผมเห็นและผมคิด .... เท่านั้นครับ ฮ่าาา
1.Bolt-On คือการต่อคอเบสกับบอดี้โดยใช้ น๊อตหรือสกรูนั่นเองจะแบบกี่ตัว ก็เเล้วเเต่ แต่ถ้าใช้ น๊อตสกรูยึดคอกับบอดี้ บอดี้แน่นอน
ส่วยเรื่องเสียงต่างๆ sustain จะสั้นกว่าอีก 2 แบบคือพวก set neck กับ neck through แต่จะได้ความ Punch ออกแนวๆเสียงต่อยๆมากขึ้นเเละการซ่อมเปนไปได้โดยง่าย ถ้าคอหักก็ยังมีบอดี้ที่สามารถหาคอใหม่ได้ถ้าบอดี้หักก็สามารถหาบอดี้ใหม่มา แทนได้ เบสที่เหนเป็น bolt-on 100% เลยก็น่าจะเปนพวก Fender

คลิกเพื่อดูภาพขนาดใหญ่

ชื่อ: bo1.jpg
ครั้ง: 2
ขนาด: 9.1 กิโลไบต์
ID: 72783คลิกเพื่อดูภาพขนาดใหญ่

ชื่อ: bo2.jpg
ครั้ง: 1
ขนาด: 4.8 กิโลไบต์
ID: 72784


2.Neck through คำ เนคทรูคือลักษณะจะเป็นไม้ ส่วนคอเปนชิ้นเดียวกับส่วนบอดี้เลยคือตั้งเเต่ Head stock บนสุดยันช่วงก้นของบอดี้จะเปนไม้ชิ้นเดียวหรือหลายชิ้นประกบกันเข้ามา จะไม่มีรอยต่อระหว่าง บอดี้ และ คอเลยเหมาะมันเหมือนเปนอนึ่งอันเดียวกัน ลักษณะเสียงจะมี sustain ที่ยาวที่สุด เสียงจะนิ่งยาวไหลๆนิ่งๆไป แต่ข้อเสียคือถ้าคอหักคือจบเห่ ! ก็ต้องไปให้ช่วง modifly หาคอมาต่อใหม่หรือไม่ก็เสียประโยชน์ส่วนนั้นไป จบได้โดยง่ายกับพวก Gibson นะผมเห็นมีเยอะเลย
ปล.บางคนเข้าใจว่าNT คือ เบสไม้ชิ้นเดียว ซึ่งจริงๆมันไม่ใช่นะครับ เบสไม้ชิ้นเดียว คือทัั้งตัวเบสเนี่ยเอาไม้มาทำเปนท่อนนึงเลยไม่มีการประกบการต่ออะไรเกิด ขึ้นนะ

คลิกเพื่อดูภาพขนาดใหญ่

ชื่อ: nt2.jpg
ครั้ง: 1
ขนาด: 6.1 กิโลไบต์
ID: 72785คลิกเพื่อดูภาพขนาดใหญ่

ชื่อ: nt1.jpg
ครั้ง: 1
ขนาด: 8.2 กิโลไบต์
ID: 72786


3.Set Neck คือการต่อคอกับบอดี้ด้วยกาวครับ สรุปง่ายๆก็ คือ ข้อดีข้อเสียเปนกลางระหว่างBolt on กับ NT คือจะไม่ดีที่สุดแต่ก็จะไม่ห่วยที่สุดเีรื่อง การซ่อมเเซมก็พอจะเป็นไปได้ยากเพราะใช้กาวในการติดครับผมก็ไม่รู้ว่ามีวิธี แกะกาวไหมไม่เคยทำแง่วๆ
ปล.Set neck บางตัวถ้าเกิด ที่คอกับที่บอดี้ทำเปนสีเดียวกันอาจทำให้เราไม่รู้เลยว่าเป็นNt หรือ Setneck เพราะมีความใกล้เคียงกัน ทางที่ดีึควรจะถามคนขายก่อนละกันครับถึง spec ของเบส
พบได้ใน ผมไม่มีข้อมูลเท่าไหร่ฮะไม่ค่อยเจอ..

คลิกเพื่อดูภาพขนาดใหญ่

ชื่อ: sn1.jpg
ครั้ง: 3
ขนาด: 6.3 กิโลไบต์
ID: 72789คลิกเพื่อดูภาพขนาดใหญ่

ชื่อ: sn2.jpg
ครั้ง: 3
ขนาด: 3.7 กิโลไบต์
ID: 72790

ความเป็นมาของกีต้าร์และเบส

มาเริ่มกันที่ยี่ห้อแรกกันเลยน่ะครับ สำหรับความเป็นมาของ กีต้าร์และเบส

B.C Rich guitars



บริษัทสัญชาติอเมริกัน ก่อตั้งโดย Bernardo Chaver Rico โดยกีต้าร์ตัวแรกที่ผลิตจะเป็นแบบอะคูสติก จำหน่ายในปี1966
และพัฒนาต่อมาเรื่อยๆ โดยได้รับความนิยมในหมู่นักกีต้าร์ชาวเฮฟวี่เมทัล จุดเด่นอยู่ที่ดีไซน์โฉบเฉี่ยว ทันสมัย ตอนหลังมีการ
ขยายฐานการผลิตไปยังญี่ปุ่นและเกาหลี




Danelectro



Nathan I.(nat) Daniel ก่อตั้งบริษัท Danelectro ขึ้นในปี 1946 ช่วงแรกจำหน่ายสินค้าหลักคือแอมป์
พอปี 1954 จึงขยายมาขายกีต้าร์ไฟฟ้าโซลิดบอดี้ในช่วงทศวรรษที่ 50 เป็นกีต้าร์ที่ได้รับความไว้วางใจจาก
นักกีต้าร์ระดับโลกมากมายเช่น Jerry Garcia, Jimi Hendrix,Jimmy Page




ESP



เป็นยี่ห้อระดับไฮ-เอนด์ราคาแพง ก่อตั้งโดยคนญี่ปุ่นในปี 1975 ตอนแรกใช้ชื่อ Navigator แต่มาเปลี่ยนเป็น ESP
ในปี 1978 มีสายการผลิตในหลายประเทศทั้ง อเมริกา เยอรมัน และญี่ปุ่น คุณภาพและราคาค่อนข้างสูง
ภายหลังมีการเจาะตลาดระดับล่างโดยทำให้ราคา ถูกลงจากสายการผลิตในเกาหลี มี signature เช่น James Hetfield วง Metallica




Fender



เป็นบริษัทสัญชาติอเมริกัน ก่อตั้งโดย Leo Fender เป็นผู้ผลิตรายแรกๆที่ใช้วิธีการผลิตแบบอุตสาหกรรม
ซึ่งบริษัทเริ่มเกิดขึ้นตั้งแต่ปี 1938 มีการปรับเปลี่ยนไปเรื่อยๆ และทำให้กีต้าร์ไฟฟ้าเกิดได้รับความนิยมมากขึ้น
และ Leo Fender ยังได้สร้างเบสไฟฟ้าแบบลำตัวตันขึ้นเป็นเจ้าแรกอีกด้วย ปัจจุบัน Fender ขยายสายการผลิต
ไปในหลายประเทศเช่น เม็กซิโก ญี่ปุ่น จีน และเกาหลี นอกจากนี้ยังได้ตั้งตราสินค้า Squier ขึ้นมาอีกยี่ห้อหนึ่ง
เพื่อรองรับลูกค้าที่มีงบประมาณไม่มากนัก




Gibson



เป็นบริษัทอเมริกันก่อนตั้งโดยนาย Orville Gibson ในปี 1894 (นานโคตร) ผลิตเครื่องดนตรีประเภทมีเฟร็ต
เป็นงานหลัก และค่อยๆพัฒนามาสร้างกีต้าร์เซมิอะคูสติกตัวแรกขึ้นมา ส่วนกีต้าร์ไฟฟ้าแบบลำตัวตันตัวแรกถูกสร้าง
ขึ้นในปี 1952 โดยความร่วมมือของนักกีต้าร์แจ๊สชื่อ Les Paul ซึ่งได้รับความนิยมจนถึงปัจจุบัน นอกจากนี้บริษัทยัง
ได้ผลิตกีต้าร์ที่มีราคาระดับต่ำลงมาในชื่อยี่ห้อ Epiphone ด้วย




Gretsch



บริษัทมีความเป็นมายาวนาน ก่อตั้งโดย Friedrich Gretsch ชาวเยอรมันที่ย้ายมาอยู่อเมริกาในปี 1872 ตอนแรกๆ
ผลิตกลอง แบนโจ และ แทมบูรีนขาย ตอนหลังเริ่มผลิตกีต้าร์ในช่วงทศวรรษที่ 30 และเปิดตัวกีต้ารืไฟฟ้าแบบลำตัวตัน
หรือ solid body ในปี 1953 ได้รับความนิยมจากมือกีต้าร์มากมายและทำเป็น signature ด้วยเช่นของ Chet Atkin




Guild



ก่อตั้งโดยมือกีต้าร์แจ๊สชื่อ Alfred Dronge บริษัท Guild เกิดขึ้นภายหลังจากช่วงที่ Epiphone ประสบปัญหาแรงงาน
ประท้วงหยุดงาน ส่งผลให้โรงงานต้องปิดลงชั่วคราว พนักงานบางส่วนเลยออกมารวมตัวกันตั้งบริษัท Guild ขึ้นมา โดยเน้น
การผลิตกีต้าร์คุณภาพสูง ในปลายปี 1995 Guild ได้ถูกขายให้กับบริษัท Fender และได้พัฒนาการออกแบบสู่ตลาดที่กว้างขึ้น




Ibanez



เป็นบริษัทสัญชาติญี่ปุ่น กีต้าร์ในตระกูล Ibanez มีราคาที่ค่อนข้างกว้างตั้งแต่ถูกมากไปจนถึงแพงสุดๆ โดยใช้ชื่อ Ibanez
เหมือนกันหมด ไม่มีการแบ่งแบรนด์ย่อยเหมือนบริษัทอื่น ช่วงแรก Ibanez จะผลิตกีต้าร์ออกมาในทรงที่ลอกเลียนแบบกีต้าร์ท
ี่ได้รับความนิยมสูงๆ แต่ภายหลังได้มีการพัฒนาการออกแบบที่มีเอกลักษณ์ของตัวเองมากขึ้น โดยมีการทำกีต้าร์ Signature model
ของมือกีต้าร์ออกมามากมายเช่น George Benson,Pat Metheny,Joe Satriani,Steve Vai,Paul Gilbert




Jackson



ก่อตั้งโดย Grover Jackson ในช่วงทศวรรษที่ 80 โดยยึดเอา stratocaster ของ fender เป็นต้นแบบแต่พัฒนาให้
ทันสมัยขึ้น เช่นเพิ่มเฟร็ต ทำคัทอะเวย์ให้ลึก ติดคันโยก เป็นกีต้าร์ที่ได้รับความนิยมจากศิลปินมากมาย มีการทำ signature
ของ Rhandy Rhoads มือกีต้าร์ตำนานอีกคนหนึ่งด้วย ปัจจุบันมีสายการผลิตที่กว้างขึ้นเช่นใน ญี่ปุ่น เกาหลี อินโดนีเซีย




Ernie Ball - Musicman



Musicman นั้นมีความสัมพันธ์โดยตรงกับ Leo Fender กล่าวคือหลังจากที่มีนายทุน หรือบริษัท CBS เข้าซื้อกิจการของ
Fender และทำสัญญาห้าม Leo ออกไปเปิดบริษัทแข่งเป็นเวลา 10 ปี ซึ่งในช่วงนั้น Leo ก็ได้ออกไปทำ Music Man ในปี
1974 กับลูกน้องเก่า แต่ไม่ได้เปิดเผยมากนัก แต่พอพ้นระยะสัญญา Leo fender ก็ขึ้นนั่งในตำแหน่งประธานของบริษัท Music man
ทันที กีต้าร์ตัวแรกที่ผลิตคือรุ่น Sting Ray ออกจำหน่ายในปี 1976 พร้อมกับเบสรุ่นเดียวกัน และได้รับความนิยมมาถึงปัจจุบัน




Ovation



ก่อตั้งโดย Charles H. kaman มีอาชีพเป็นวิศวกรการบิน และเขาได้นำวัสดุที่ใช้ทำเครื่องบินเป็นไฟเบอร์กลาสที่เรียกว่า Lyracord
มาประยุกต์ใช้ทำ body กีต้าร์ และสินค้าของ Ovation ก็ได้รับความนิยมโดยเแพาะกีต้าร์โปร่งแบบหลังเต่า ที่กลายเป็นสัญลักษณ์ของยี่ห้อนี้ไปเลย




Parker



เป็นการร่วมงานกันระหว่าง Ken parker กับ Larry Fishman โดยได้รับการสนับสนุนด้านการเงินจาก Korg ความโดดเด่นของกีต้าร์
Parker คือความเป็นกีต้าร์ไฮบริด คือมีทั้งปิคอัพแม่เหล็กสำหรับกีต้าร์ไฟ้าและติดตั้งปิคอัพ piezo ที่ใช้ในกีต้าร์อะคูสติก เป็นกีต้าร์ที่มี
ีน้ำหนักเบา เนื่องจากใช้วัสดุสังเคราะห์ที่เป็นสารประกอบจากไฟเบอรืกลาส คาร์บอนไฟเบอร์และอีพ็อกซี่ มาห่อหุ้มบอดี้ที่เป็นเนื้อไม้ ทำให้มีน้ำหนักเบา
แต่ยังคงคุณสมบัติการสะท้อนเสียงของเนื้อไม้อยู่ สำหรับคอก็ใช้วัสดุเดียวกัน ทำให้มีความแข็งแรง เป็นยี่ห้อที่มีราคาสูง และยังมีรุ่นที่ใช้ไม้จริงทำก็มี




PRS - Paul Reed Smith



Paul Reed Smith เป็นช่างทำกีต้าร์ซึ่งไม่เคยหมดไฟ เขาเริ่มทำกีต้าร์ตั้งแต่อยู่ไฮสคูล Ted Nugent มือกีต้าร์ชื่อดัง เป็นลูกค้าคนแรกที่
พอล รีด สร้างกีต้าร์ให้เขา และพอลมีความฝันที่อยากจะสร้างกีต้าร์ให้กับ Carlos Santana ที่เป็นฮี่โร่ของเขา เขาต้องใช้วิธีเข้าหาคาร์ลอสด้วยการเข้าไปคลุกคลีอยู่หลังเวทีคอนเสิร์ต
และให้เด็กขนเครื่องของ santana ลองไปบอกเจ้านายให้มาดูกีต้าร์ที่เขาทำหน่อย โดยมีข้อตกลงง่ายๆคือ "ถ้าคุณไม่หลงรักมัน รับประกันคืนเงินให้ทันที" และมันก็ได้ผล ในตอนแรก
Carlos Santana คิดว่ามันเป็นแค่ความ บังเอิญ จากพระเจ้า เค้าไม่คิดว่า พอล รีด จะทำกีต้าร์ได้ดีเหมือนตัวก่อนอีก จึงได้ลองสั่งเพิ่มเป็นตัวที่ สอง สาม และอีกหลายตัว
ต่อมา จนในที่สุด Carlos ก็สิ้นความกังขาและมั่นใจว่า พอล รีด สมิธ คือผู้ที่เกิดมาเพื่องานสร้างกีต้าร์ที่แท้จริง หลังจากนั้นชื่อเสียงของกีต้าร์
PRS ก็ได้รับความนิยมมากขึ้นโดยมีออเดอร์สั่งงานเข้ามาเยอะมาก และทำให้ PRS เป็นกีต้าร์ระดับ Hi-End ที่มีราคาแพง ในระดับหลักแสน ไปจนถึงหลักล้านเลยก็มี




Peavy



เป็นอีกหนึ่งบริษัทสายเลือดอเมริกันที่ผลิตทั้งหัวแอมป์ คาร์บิเนต รวมไปถึงกีต้าร์และเบส และมีกีต้าร์ที่เป็น signature อยู่เช่นของ
Eddie Van Halen




Schecter



Schecter เริ่มต้นจากการเป็นบริษัทผลิตชิ้นส่วนประกอบกีต้าร์คุณภาพสูง ภายหลังกลัวรวยไม่พอ จึงหันมาผลิตกีต้าร์ซะเอง
การออกแบบในช่วงแรกจะเป็นการเอาดีไซน์ของ Fender มาพัฒนาต่อ ในช่วงทศวรรษที่ 80 บริษัทประสบปัญหาเศรษฐกิจ
จึงเน้นสายการผลิตที่ประเทศญี่ปุ่น ในปลายทศวรรษ 80 จึงกลับมาเน้นผลิตที่ USA อีกครั้ง ในปี 1999 ได้ออกซีรี่ส์ Diamond
ที่ผลิตในเกาหลีเพื่อขยายการตลาดที่กว้างขึ้น




Washburn



เป็นบริษัทที่มีความเป็นมายาวนานโคตร คือก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1864 โดย George Washburn Lyon ซึ่งได้ทำการบุกเบิกธุรกิจ
กีต้าร์อะคูสติกให้แก่อเมริกา เมื่อธุรกิจตกต่ำ จึงได้มีการขายกิจการให้แก่บริษัท Fretted Industries ซึ่งก็ทำการผลิตโดยใช้ชื่อ
Washburn ต่อไป ในรุ่น Top ของสินค้านั้นจะผลิตใน USA แต่มีสายการผลิตส่วนใหญ่จะอยู่ที่ ญี่ปุ่นและเกาหลี ถ้าเป็นรุ่นที่ผลิต
ในอเมริกา จะมีราคาค่อนข้างแพงมาก




YAMAHA



เป็นบริษัทยักษ์ใหญ่จากญี่ปุ่น ผลิตสินค้าคุณภาพหลายอย่างมาก ตั้งแต่กีต้าร์ เบส เครื่องดนตรี คีย์บอร์ด เครื่องเสียง ไปจนถึง มอเตอร์ไซค์และเรือยนต์




Cort



เป็นกีต้าร์สายพันธุ์เกาหลี แต่ก่อตั้งขึ้นโดยคนอเมริกันชื่อ Jack Westheimer งานหลักในช่วงแรกคือการเป็นโรงงานทำ production
หรือทำการผลิตกีต้าร์ให้กับยี่ห้ออื่น เช่น ในปี 1985 รับผลิตกีต้าร์ให้ Kramer และ B.C.Rich แต่หลังจากเปิดโรงงานใหม่ ก็ได้ตั้งแบรนด์
ของตัวเองใช้ชื่อว่า Cort ต่อมาได้มีการเริ่มพัฒนาดีไซน์ในรูปแบบของตัวเอง มีตั้งแต่สินค้าระดับล่างไปจนถึงระดับ Hi-End ที่มีราคาแพง




Epiphone



หลายคนในยุคนี้อาจจะรู้จักแค่ว่า Epiphone เป็นแค่กีต้าร์เวอร์ชั่นราคาถูกของ Gibson แต่ในความเป็นจริงแล้วนั้น
Epiphone มีความเป็นมาของบริษัทยาวนานมาก เรียกได้ว่าเป็นหน้าหนึ่งในประวัติศาสตร์ดนตรีเลยก็ว่าได้


Epiphone ก่อตั้งครั้งแรกโดย Anastasios Stathopoulo ในประเทศตุรกี ตั้งแต่ปี คศ.1870 จากนั้นจึงย้ายมา
อเมริกาในปี 1903 หลังจากเจ้าของเสียชีวิตลง ลูกชายคนโตที่รู้จักกันในชื่อเล่นว่า "Epi" จึงเข้ามาดูแลกิจการต่อและเริ่มผลิตแบนโจ
จำหน่าย จนมาผลิตกีต้าร์คร้งแรกในปี 1928 ซึ่งในเวลานั้นถือว่า เป็นคู่แข่งโดยตรงของ Gibson เลยทีเดียว


หลังจากผู้บริหารเสียชีวิตลงในปี 1957 Epiphone ก็ถูกขายกิจการให้กับ Gibson และใช้เป็นสายการผลิต
ลำดับรองของ Gibson ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา




Squier



เกิดขึ้นในช่วงทศวรรษที่ 80 เมื่อ Fender ญี่ปุ่น ได้ส่งออกกีต้ารืไปยังตลาดในยุโรปและได้เปลี่ยนมาใช้ชื่อตราสินค้าว่า Squier แทน
โดยนโยบายของ Fender คือให้ Squier เป็นกีต้าร์ Fender ในเวอร์ชั่นราคาถูก เพื่อขยายตลาดให้ได้กว้างขึ้น โดยที่ไม่ไปกระทบต่อ
ภาพพจน์ของตรา Fender ที่โลโก้ของ Squier จะเขียนไว้ว่า Squier by Fender เพื่อบอกว่า ยังคงได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดจาก
Fender ในทุกขั้นตอนเหมือนเดิม ในช่วงปี 1987 Fender เปิดโรงงานที่เม็กซิโกและ Squier บางรุ่นก็ผลิตที่นั่นเหมือนกัน
แต่ปัจจุบันโรงงานหลักของ Squier อยู่ที่จีนและอินโดนิเซีย




MTD และ TOBIAS



Michael Tobias เริ่มทำเครื่องดนตรีในปี 1974 เขาเคยทำงานให้กับบริษัทชั้นนำหลายๆแห่งเช่น Martin,Gibson,Fender,Kohno
เขาเปิดบริษัท Tobias Guitar ขึ้นที่ฟลอริดาในปี 1977 รับงานซ่อมเครื่องดนตรีและรับผลิตเบสแบบ custom made


ในปี 1988 นั้นมีใบสั่งซื้อ สั่งทำเบสเข้ามา มากจนทำการผลิตไม่ทัน จึงต้องปิดรับออเดอร์ไปจนถึงปี 1990 และเพื่อเป็นการขยายศักยภาพ
ในการผลิต จึงได้มีการขายบริษัทให้แก่ Gibson ในวันที่ 1 มกราคม 1990 และเริ่มผลิตเบส Tobias by Gibson แต่ออเดอร์ก็ยังมีเข้ามา
มากจนผลิตไม่ทันอยู่ดี จึงต้องจ้างโรงงานอื่นมาช่วยด้วย โดยมีการทำ Model T ที่ผลิตใน new england และรุ่น Standard ที่ผลิตใน
โรงงานที่นาโกยา ประเทศญี่ปุ่น


Michael Tobias ลาออกจาก Gibson ในปี 1992 แต่ยังคงรับตำแหน่งที่ปรึกษาให้กับ Gibson โดยมีข้อผูกมัดว่า เขาจะยังไม่สามารถออกไป
เปิดบริษัทเพื่อแข่งขันได้ภายในเวลา 1 ปี จนกระทั่ง ปี 1993 Michael Tobias จึงได้ออกมาเปิดบริษัทผลิตเบส
ภายใต้ตรา MTD โดยรับสร้างเบส custom made และมีความสุขกับการผลิตเบสคุณภาพสูง 10 ตัวต่อเดือน




Spector



ก่อตั้งโดย Stuart Spector ซึ่งเป็นผู้ที่มีประสบการณ์ในการทำเบส โดยผ่านการลองถูกลองผิดมาด้วยตัวเองมากมาย จนมาพบคู่หูคือ
Ned Steinberger ร่วมกันทำให้บริษัท Spector Guitar เติบโตอย่างรวดเร็ว ในปี 1985 ได้ทำการขายกิจการให้กับบริษัท Kramer
และ Stuart Spector นั่งตำแหน่งเก้าอี้ที่ปรึกษาให้แก่บริษัท และผลิตเบส Spector by kramer ออกมาจำหน่ายได้ประมาณ 5 ปี
และหลังจากที่ Kramer ประสบปัญหาล้มละลาย Stuart Spector จึงออกมาผลิตเบสยี่ห้อ SSD (Stuart Spector Design)
ในปี 1998 เขาจึงได้เครื่องหมายการค้า Spector กลับคืนมาเป็นของตัวเองอย่างถูกต้องตามกฎหมายอีกครั้ง


ทุกวันนี้ Stuart ยังผลิตเบส Spector อยู่ในนิวยอร์ค ผลิตได้ประมาณ 8-10 ตัวต่อเดือน และเขายังมีโรงงานใน เชค เกาหลี และจีนอีกด้วย




Status



Status Graphite เป็นเบสทำมือคุณภาพสูงอีกยี่ห้อหนึ่ง ได้รับความนิยมจากมือเบสดังๆมากมาย




Warwick



เป็นบริษัทสัญชาติเยอรมัน เรื่องราวเริ่มขึ้นเมื่อ Alfred Andreas Wilfer (1917-1996) กลับมาจากสงครามโลกครั้งที่ 2
และได้ตั้งโรงงานผลิตไวโอลินขึ้นในปี 1945-1946 ได้ตั้งชื่อเครื่องดนตรีว่า Framus ซึ่งย่อมาจาก Franconian Musical
สินค้าที่ผลิตมีอาทิ พิณ เบส แบนโจ โดยมีกีต้าร์เป็นสินค้าหลัก ปี 1966 มีการขยายโรงงานเพิ่ม ปี 1971 ฉลองครบรอบ 25 ปี และ
Framus ได้สร้างชื่อเสียงและเป็นแบรนด์ที่สำคัญมาอันหนึ่งในอุตสาหกรรมการผลิตเครื่องดนตรีของเยอรมัน


แต่ในช่วงทศวรรษ 70 เศรษฐกิจตกต่ำเนื่องจากบริษัทดนตรีต่างประเทศใช้กลยุทธ์ ตัดราคา ทำให้ Framus ทานกระแสไม่ไหว
ปิดตัวลงในปี 1975 สร้างความขมขื่นให้แก่ Alfred เป็นอย่างมาก


แต่ลูกชายคนสุดท้องของเขา คือ Hans Peter Wilfer เริ่มทำธุรกิจใหม่ของตัวเองด้วยการเปิดโรงงานผลิตเครื่องดนตรี WarWick
ขึ้นมาในปี 1982 เข้าได้สร้างให้ Warwick กลายเป็นบริษัทผลิตเบสที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ในปี 1995 ได้มีการ
ย้ายโรงงานไปอยู่เมือง Saxon Vogtland ปี 1996 บริษัทเปิดสำนักงานขึ้นที่เมืองเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน เพื่อรองรับตลาดใน Asia
ในปี 2000 Warwick ฉลองครบรอบ 18 ปี ปัจจุบันมีเบส Warwick จำหน่ายอยู่ใน 50 ประเทศทั่วโลก


ข้อมูลบางส่วนและภาพ จากอินเทอร์เน็ตและหนังสือครับ

ลักษณะของ pickup เบส

วันนี้จะมาบอกเรื่องรูปแบบหรือลักษณะของ pickup ของเบสครับ


อย่างแรกคือต้องแนะนำว่าเจ้า pickup มันคืออะไรน่ะครับ
Pickup เป็นอุปกรณ์ electronics ชนิดหนึ่ง เกิดจากการนำขดลวดมาพันรอบๆแกนแม่เหล็ก ทำหน้าที่ในการแปลงสัญญาณการสั่นของสายเบสให้เป็นสัญญาณไฟฟ้าผ่านสาย jack แล้วไปออกที่ตู้แอมป์ ขนิดของ pickup เท่าที่เห็นๆกันก็จะมี 3 แบบ ได้แก่

1 Split coil (มักเรียกกันว่า P-bass pickup) เป็น pickup แบบ humbucker ที่มีลักษณะเหมือนเอาสี่เหลี่ยมสองอันมาต่อกันแบบเฉียงๆ ดูตัวอย่างได้จากเบส fender precision bass ต่างๆ

2 Single coil (มักจะเรียกกันว่า Jazz bass pickup) จะเป็นแท่งสี่เหลี่ยมผืนผ้ายาวๆ 1 แท่ง เกิดจากการนำแท่งแม่เหล็กเพียงหนึ่งแท่งมาพันด้วยขดลวด โทนเสียงจาก pickup ชนิดนี้จะ bright และ clear แต่จะมีปัญหาด้านเสียงจี่หรือ noise เนื่องจากในเบสทั่วๆไปมักมีการติดตั้ง single coil สองตัว ถ้าเปิด volume ของ pu ทั้งสองตัวเท่ากัน จะไม่เกิด noise ดูตัวอย่างได้จาก fender jazz bass

3 Humbucker หรือ soapbar pickup คือ pickup ที่เกิดจากการเอา pickup แบบ single coil มาต่อกันคู่กัน (แบบขนาน หรือ อนุกรม ก็ว่ากันไป) เพื่อลดเสียงจี่ หรือ noise แต่เนื่องจากการที่มันมีความสามารถในการลดเสียงจี่ จึงทำให้เสียงทางด้าน high ลดลง หรือไม่ bright เท่ากับพวก single coil แต่จะมี output ที่แรงกว่า single coil ดูตัวอย่างได้จาก musicman classic stingray bass

รูปภาพจากสยามเบสครับผม

วิธีตัดเสียงเบสออกจากไฟล์เสียง

 ต้องขอบอกก่อนเลยครับว่า ผมไม่เก่งฮะ วิธีที่ผมบอกไปอาจจะดูงงบ้าง ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ


ใช้ฟรีแวร์อย่างเช่น GoldWave ครับ โดยนำเพลงที่ต้องการจะตัด มาเปิดในโปรแกรมก่อน


จากนั้นเลือกไปที่ Effect / Filter / Band Pass/Stop




จากนั้นเลือก Setting ให้เป็น Band Stop แล้ว Steepness เป็น 10 ส่วนความถี่นั้น ให้ลองปรับตามใจชอบนะครับอันบนสุดจะเป็น ย่านความถี่ต่ำที่จะให้ผ่านออกมาได้จนถึงความถี่นี้เท่านั้น
ส่วนอันล่างจะเป็น ความถี่สูงที่จะเริ่มให้ผ่านได้ ความถี่ตรงกลางจะหายไปครับ


โดยปกติเสียงเบส จะอยู่ประมาณ 60-400 Hz ครับ เราจะกรองไม่ให้ตรงนี้ผ่านออกมาได้ (ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับ บทเพลงครับ อย่างพวกที่ Slap เยอะ ๆ อาจจะกรองได้ไม่หมดนะครับ) ตรงนี้สามารถปรับไปด้วย ฟังไปด้วยได้นะครับ โดยการกด ปุ่ม Play สีเขียว ๆ แล้วปรับไปเรื่อย ๆ จนพอใจครับ



เป็นไงบ้างครับ กับวิธีตัดเสียงเบสออก ง่ายใช่ไหมล่ะหรือว่ามึน ฮ่าาา

ข้าวมันไก่โก๊ะตี๋

ข่าวมันไก่โก๊ะตี๋ รามคำแหง 43/1 แถวนั้นเรียกกันว่าซอยติว เข้าซอยไปนิดเดียวเจอเลย ป้ายบะเร้อ!!! หา  พอดีเดินผ่านบวกกับอยากลองมานาน เลยจัดไปซะ


 ราคา มีหลากหลายผมว่าถ้าวัดกันตามราคาขายของพื้นที่นั้นถือว่ามาตราฐานเลยฮะ


 น้ำจิ้มที่ว่าสูตรเด็ด เอิ่ม.....เด็ดน่ะเด็ดอยุ๋แต่มันยังไม่ถึงสำหรับผมน่ะ


ข้าวมันไก่ทอด อันนี้ต้องชมนิดนึงครับว่าไก่ทอดอร่อยพอประมาณ แต่ข้าวมันนี้สิออกเลี่ยนไปหน่อย


 ข้าวมันไก่ต้ม ที่แส๊น <<< เสียงสูงทีเดียว จะธรรมดา


น้ำซุปรึว่าน้ำ.........





สรุป ถ้าใครอยากนั่งกินสบาย ๆ ไม่ร้อนก็เชิญเลยครับ แต่ถ้าใครพอมีเวลาลองเดินหาร้านอื่นผมว่าราคาถูกกว่า และอร่อยกว่าแน่นอนฮะ

วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

เสียงของไม้ที่แอบแฝง


ข้อมูลทั้งหมด ผมได้มากจากประสบการณ์ที่เจอเอง และรวบรวมข้อมูลอื่นมาอีกจากหลายๆที่ ทั้งจากคนทำเบส ปากสู่ปาก 

และจากหลายๆที่ๆหาได้ ไม่ว่าจะเป็นinternetหรือ สัมภาษณ์ใครก็ตาม


ใครมีอะไรอยากเพิ่มเติมก็ช่วยๆกันนะคร้าบ ที่ผมเขียนนี้บางคนอาจจะไม่เห็นด้วยหรือยังไง ลองแชร์ความรู้ความเห็นกันได้เลยครับ :D



Afzelia (Afzelia pachyloba, bipindensis, or africana): 
เป็นไม้ที่แข็งและมีมวลที่หนาแน่นมากๆ และค่อนข้างหนักกว่าไม้อื่นๆ จุดประสงค์เพื่อเสียงpunchy low end กับ เสียงสูงที่ใสๆ



Bubinga (Guibourtia demeusei, pellegrinina, or tessmannii): 
เป็นไม้ที่หาได้แถบแอฟริกา แถวๆไนจีเรีย คาเมรูน และแถบๆคองโก เป็นไม้แข็งและเป็นไม้ที่ resonant (deep,clear) มากๆ 
จุดประสงค์เพื่อเสียง clear lows และ ทำได้ดีในย่าน upper mids กับ high



Ovangkol (Guiboourtia ehie): 
หาได้ในแถบๆแอฟริกาเหมือน Bubinga ไม้ovangkol มีน้ำหนักที่มากกว่าBubinga อยู่นิดหน่อย 
เป็นไม้ที่มีสีน้ำตาลเข้่ม กับ เหลืองเข้ม และลายสีดำ มองแล้วเหมือน 3D คล้ายๆ wavy effect 
คุณสมบัติของovangkolนั้นใกล้เคียงกับbubinga



Maple/ Flamed Maple (Acer, various): 
หาได้หลากหลายแห่งบนโลกใบในนี้ แต่คุณภาพของไม้ก็จะแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับสถานที่ๆมันเกิด 
เป็นไม้ที่ resonant ดีมาก และมีความชัดเจนในตัวเองอยู่สูง


= Soft Maple: 
ใช้เยอะมากในการผลิตเบสที่เกาหลี เป็นไม้ที่ไม่แข็งเท่าhard maple เสียงที่ได้ค่อนข้างหนัก,เน้น และใสในช่วง midranges 
แต่ช่วงlows นั้นไม่มีอะไรน่าสนใจเลย 



=Hard Maple: 
ไม้นี้เหมือนคนบ้าชอบแหกปาก เสียงดังและช่วยมากใช่ช่วงเสียงupper midrange, bright high 
ควรจะหาPUที่สนับสนุนเสียงต่ำมาช่วย เพราะไม้นี้ช่วยเสียงต่ำน้อยมาก 
แต่เอกลักษณ์ของเสียงต่ำที่ไม้นี้ให้นั้นค่อนข้างน่าสนใจเลยทีเดียว และช่วยในเรื่องsustainในระดับหนึ่งอีกด้วย



Alder: 
เป็นไม้น้ำหนักเบา ช่วยเพื่มความหนาแน่น และความหลากหลายของtones ช่วยเสียงย่านสูงอีกด้วย 
ในขณะที่เสียงย่านกลาง และต่ำ ไม่ได้ช่วยหรือสนับสนุนมากนัก



Ash/Swamp Ash(Fraxinus, various): 
คล้าย maple หาได้หลากหลายที่บนโลก 
Ashมีน้ำหนักค่อนข้างเบา เมื่อเทียบกับไม้อื่นๆ 
Ashสนับสนุนเสียง mid ได้อย่างสวยงาม แล้วยังให้ very warm low end 
ไม้นี้หนาแน่นพอที่จะสร้างcrisp low endแต่ไม่บวมหรือเบลอ และยังได้harmonic ที่ชัดเจนอีกด้วย



Wenge (Millettia Laurentii): 
เป็นไม้ที่แข็งแกร่ง ทน และมวลหนาแน่น ไม้มีสีน้ำตาลเข้มกับลายขีดๆสีดำ ช่วยในย่าน mids คุณสมบัติคล้ายๆ ovangkol 



Mahogany(Meliaceae):
เป็นไม้สีแดงน้ำตาล เป็นไม้ที่ค่อนข้างได้รับการนิยมมาใช้ในการทำกีต้าร์ และเบส มาเป็นเวลานานมากแล้ว 
หาได้ส่วนใหญ่จากทางตะวันตกของแอฟริกา ให้เสียงที่ค่อนข้าง deep, warm sounding wood 
บวกกับ harmonical high frequencies แต่ไม่ค่อยได้เสียงย่านกลางจากไม้นี้ 
เสียงจะออกค่อนข้างหนาๆ เพราะมันช่วยได้ดีมากในย่าน lows กับ lows mid 
ในขณะที่ upper mids ก็ทำได้ค่อนข้างดี ผลก็คือ เวลาเล่นโน๊ตสูงๆ เสียงจะหนาและอ้วนมากกว่า เมื่อเทียบกับ alderหรือash 
โน๊ตเสียงต่ำจะหนามาก ถึงขนาดบวมและเบลอได้เลย 
การเลือกPUที่เหมาะสมกับmahoganyน่าจะเป็นPUที่สามารถ ลดเสียงlow หรือทำให้เสียงlowนั้นมันบางลง 
จะเป็นทางออกการแก้ไขของอาการบวมเบลอที่สุด

** ถ้าได้mahogany คุณภาพต่ำมาทำเบส อาจจะเป็นฝันร้ายสุดๆไปเลยก็ได้เพราะเสียงที่ได้จะบวมเบลอมากๆ 
ถึงขนาดอยากเผาเบสทิ้งเลยทีเดียว PUก็ไม่สามารถช่วยได้... มันช่วยได้แต่ก็น้อยมาก!! 



Zebrano, Zebrawood: 
หาได้ทั่วไปในแอฟริกา สีค่อนข้างเข้มออกเหลืองนิดๆ มีลายขีดยาวๆเป็นเอกลักษณ์ 
จำนวนและลักษณะของลายที่ขึ้นของไม้นี้นั้น ขึ้นอยู่กับสถานที่ๆมันเกิดด้วย
ช่วยสนับสนุนเสียงอย่างโหดร้ายในย่านเสียง low end ส่วนเสียงสูงนั้นจะclear และ bright(มาก)



Walnut: 
เป็นไม้ที่แข็งและมีมวลหนากว่ากว่า mahogany เสียงที่walnutให้นั้นจะใสกว่าmahogany 
แต่ในบางfrequencies ของช่วงmidrange จะหายไปเลย เสียงที่ได้จะเป็นแนวๆ snappy attack และได้ solid lows คล้ายๆ Ash 
อย่างไรก็ตามwalnutได้เสียงสูงสวยๆซึ่งคล้ายๆกับ mahogany และได้ช่วง mids คล้ายๆ alder 
แต่ปัญหาของไม้นี้คือ เลือกPUที่เข้ากับไม้ได้ค่อนข้างยาก 
เพราะถ้าเลือกPUที่ไม่เหมาะสม เสียงที่ได้่จะเหมือนไม่มีชีวิต ขาดเอกลักษณ์ที่สำคัญของไม้นี้เกือบทั้งหมด 

**walnut ให้เสียงที่ไม่บวม นอกจากจะได้ไม้พันธ์ุหรือคุณภาพต่ำมา สังเกตุโดยจะมีสี เหลืองและส้ม



Koa: 
เป็นมีที่มีน้ำมันมากกว่า mahogany หรือ walnut มีมวลมากกว่าmahogany แต่ไม่ใสเท่าwalnut 
เป็นไม้มีน้ำมันคล้ายๆrosewood เสียงที่ได้ค่อนข้างใส เนื้อๆ แต่เหมือนมีอะไรมากดไว้อยู่่ 
ให้อธิบายก็คือ เสียงมันไม่ได้สูงใสเหมือนเสียงแก้วแตก และช่วยมากๆในช่วง uppers midrange มากกว่าช่วง highs 

** ไม้นี้หายากและแพง ส่วนใหญ่จะเป็นการupgradeราคาแพงซะมากกว่า ยิ่งFigured Koa นี่จะแพงมาก ซึ่งหายากมากยิ่งกว่า



Korina: 
คงอธิบายได้ว่า "super-mahogany or mahogany deluxe" คือคุณสมบัติคล้ายกับmahoganyมากๆๆๆ 
แต่ได้เสียงกลางที่หวานเข้ามาเพื่ม ไม้มีmoisture contentหนาแน่นมากกว่าที่จะบอกว่าเป็นไม้ที่มีมวลหนาแน่น

**ใช้กันน้อย เพราะแพง และหายากกว่าmahogany 



ไม้ที่ใช้ทำbodyหลักๆจะมีประมาณนี้นะครับ 

ส่วนไม้อื่นๆที่ไม่ได้กล่าวมาในที่นี้ ส่วนมากจะช่วยเรื่องเสียงย่านต่ำ 

และทราบกันมั๊ยครับว่า มีเบสบางยี่ห้อเอาไม้ต้น"มะม่วง"มาทำบอดี้ด้วยนะครับ

(มะม่วงถือว่าเป็นไม้ชนิดหนึ่งที่หาไม่ได้ง่ายๆนะครับ สำหรับคนประเทศอื่น)

ใครมีต้นมะม่วงตัดไว้ อย่าเอาไปทิ้งหละครับ ;D

คราวนี้มาพูดเรื่อง ไม้ที่เอามาทำคอบ้าง



Maple: 
เป็นเรื่องธรรมดามากๆที่เห็นเบสส่วนใหญ่ใช้mapleมาทำ 
ข้อดีของมันคือmapleเป็นไม้ที่แข็งแรงและเปลี่ยนแปลงยาก(stable) 
ไม่ว่าจะอากาศเปลี่ยนยังไง mapleจะมีผลกระทบน้อยกว่าไม้อื่นๆ เป็นไม้ที่ highly reflective 
ถ้าทำคอจากmapleแล้ว เสียงส่วนใหญ่จะไปโฟกัสอยู่ที่bodyมากกว่า

**มีบางท่านบอกว่า ถ้าทำเบสคอเป็นmaple ทำbolt-onไป เสียงแทบไม่แตกต่างกับNT อาจจะนิดหน่อยเรื่องsustain
แต่ก็ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบอื่นๆด้วย เช่นไม้ที่เอามาประกบทำคอหรือบอดี้ แต่ในกรณีนี้หมายถึงทุกส่วนของเบสเป็นmaple
(อันนี้อย่าเชื่อมากครับ เพราะไม่เคยลองเหมือนกัน)


Mahogany: 
เพราะว่าความหนาแน่นที่เท่าๆกันของmahogany ทำให้คอนั้นแข็งแรง และค่อนข้างresponse มากกว่า maple 
ไม้mahogany จะซับความสั่นสะเทือนของสายเบสได้มากกว่านิดหน่อยเมื่อเทียบกับ maple 
ผลที่ได้มากคือ มันจะcompress the attack of sound กับเสียงย่านสูงเล็กน้อย


Koa: 
เสียงของมันนั้น มันอยู่ตรงกลางระหว่าง mahogany กับ maple 
แต่จะมีsweeter top end มากกว่าทั้งmahogany และ maple



Rosewood: 
เป็นไม้ที่หนัก มีน้ำมัน ช่วยเรื่องsustain และช่วยให้เสียงสูงออกมาsmoothและwarmขึ้น 
ส่วนใหญ่คนมักจะบอกว่า ไม้ที่ให้sustainเยอะ ผลที่ตามมาคือเสียงสูงแบบแสบสันจะตามมาด้วย 
แต่Rosewoodไม่ได้เป็นแบบนั้น ไม้นี้ช่วยอุดเสียงhigh toneเกือบทั้งหมด แต่ช่วยสนับสนุนในย่าน mid and low mid overtones


Wenge: 
หนาแน่น แข็งแรง และทนทาน คือนิยามของwenge ไม้นี้ช่วยเหลาเสียงสูงออกไปคล้ายๆrosewood แต่ในขณะเดียวกันนั้นชมากๆในย่านเสียงของ mids กับ low mids 
ไม้หลักๆที่เอามาทำคอกันก็มีประมาณนี้แหละครับ ส่วนเรื่องถัดไปจะเกี่ยวกับfretboard ;D


Maple: 
ใสมากและหนาแน่นในtone เป็นไม้ที่reflectiveมาก เมื่อเอามาทำfretboard ไม้นี้จะสนับสนุนเสียงย่านสูงทั้งหมด 
แต่mapleจะไม่สนับสนุนเสียงย่านต่ำแม้แต่น้อย เมื่อเอามาทำfretboard แต่จะแจ่มมากในเรื่องของharmonics 


Rosewood: 
rosewoodเป็นไม้ที่ได้รับความนิยมน่าจะมากที่สุดแล้วในการมาทำfretboard 
เป็นไม้ที่มัน และให้ความรู้สึกที่ดีเวลาสัมผัส เสียงนั้นจะricher(หนากว่าอ้วนกว่า)ในfundamentalของเสียง เมื่อเทียบกับmaple 
ก็เป็นเพราะว่าไม้นี้มันมีน้ำมันมากกว่านั่นเอง



Ebony: 
สนับสนุนเสียงสูงได้ยอดเยี่ยมมาก snappy and crisp attack บวกกับความหนาแน่นของเสียงที่คล้ายๆmaple 
ซึ่งebonyจะทำได้ดีกว่าmapleด้วยซ้ำในเรื่องของfundamental tone และช่วยในเรื่องsustainได้อย่างดีเยี่ยม 
แต่บางคนรู้สึกว่ามันให้cranky soundที่มากเกินไป ถ้าPUให้เสียงแสบสันอยู่แล้ว เจอebonyเข้าไปอีก ก็crankyไปกันใหญ่แน่นอน



Pao Ferro:
ไม้นี้ค่อนข้างธรรมดาแม้จะมีเบสยี่ห้อเทพๆ แพงๆหลายยี่ห้อนำมาใช้ เช่น Tobias 
ไม้นี้มีคุณสมบัติระหว่าง Rosewood and Ebony เสียงมันจะsnappyมากกว่าrosewood 
และช่วยในเรื่องsustainได้ดีในระดับหนึ่ง แต่ไม่ดีเท่าEbony แต่เสียงที่ได้จะอุ่นกว่าEbony 
ที่ได้รับความนิยมบ้าง ก็น่าจะเป็นเพราะว่า pao ferroมีคุณสมบัติที่น่าสนใจของทั้ง Rosewood และ Ebonyนั่นเอง


ก็มีประมาณนี้แหละครับรวมๆ อยากเพิ่มเติมอะไรก็เต็มที่เลยครับ

จริงๆยังมีรายละเอียดเกี่ยวกับ การเอาไม้ชนิดนี้ชนิดนั้นมารวมกัน ใช้topเป็นอะไรยังไง แล้วเสียงออกมาจะเป็นแนวๆไหน 
แต่ยังอยู่ในกระบวนการค้นคว้าและศึกษาอยู่ครับ คือไม่อยากนั่งเทียนเขียนขึ้นมาเองหนะครับ ขอบคุณคร้าบ

credit : siambass